• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Lali

#1

กลับมาครั้งนี้ของ GoPro 11 ในโหมด Time Lapse กับระบบพรีเซ็ตที่ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น และหนึ่งในนั้นคือ Star Trails หรือ โหมด ถ่าย ดาว GoPro 11 วันนี้ทาง Aquapro จะมาบอกเคล็ดลับวิธีการตั้งค่ากล้องง่ายๆ พร้อมแชร์ทริคการถ่ายดาวยังไงให้ปังกับ GoPro 11
 
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ GoPro 11 ถ่ายดาว ยังไงให้ปัง กับเรา Aquapro!

GoPro 11 ถ่ายดาว ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง?

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นถ่ายดาวกับกล้อง GoPro 11 อุปกรณ์หลักๆที่ต้องเตรียม จะมีอะไรบ้างไปดูกัน!

  • กล้อง GoPro
  • ขาตั้งกล้อง
  • Tripod Mount
  • แบตเตอรี่สำรอง (ถ้ามี)
  • โทรศัพท์มือถือ
  • ไฟฉาย

GoPro 11 ถ่ายดาว หามุมอย่างไรให้ออกมาปัง!


หลายๆ คนอาจคิดว่าการถ่ายดาวเป็นเรื่องยาก แต่จริงๆ แล้วไม่ยากอย่างที่คิด ในหัวข้อนี้ Aquapro จะมาแนะนำตัวช่วยที่ทำให้การถ่ายดาวไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! ซึ่งตัวช่วยนี้ก็คือ แอปพลิเคชัน Star Walk 2 การใช้งานก็ง่ายๆ เพียงเข้ามาที่หน้าแอป จากนั้นชูหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นไปบนท้องฟ้า ตัวแอปจะทำการจำลองลักษณะวัตถุบนท้องฟ้าที่อยู่ในบริเวณนั้นแบบเรียลไทม์
 
แนะนำโหมดถ่ายดาว และ วิธีตั้งค่าใน GoPro 11

หลังจากที่รู้จักอุปกรณ์ และตัวช่วยสำหรับถ่ายดวงดาวแล้ว หัวข้อนี้จะเป็นการแนะนำโหมดถ่ายดาวใน GoPro 11 พร้อมบอกวิธีการตั้งค่าเบื้องต้นใน Time Lapse
  • เลือกโหมด Time Lapse แล้วกดเข้าไปที่เมนู Star Trails หรือ โหมดถ่ายดาว
  • Trails Length สามารถตั้งค่าได้ 3 ระดับ ได้แก่ Short, Long และ Max ถ้าต้องการเก็บภาพดวงดาวในลักษณะเน้นเส้นของดาว แนะนำให้ใช้โหมด Long และ Max
  • Resolution การตั้งค่าความละเอียดมาตรฐานอยู่ที่ 4K แต่สามารถปรับความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 5.3K หรือ 5K ได้
  • Speed Shutter ควรตั้งค่า Speed Shutter ให้สูงประมาณ 30s เพื่อเปิดรูรับแสงจากภายนอก และต้องใช้อุปกรณ์เสริมในการช่วยถ่ายอย่างขาตั้งกล้อง เนื่องจากมือของเราไม่สามารถรับ Speed Shutter ที่ต่ำกว่า 1/50 ได้
  • ISO MIN และ ISO MAX การตั้งค่า ISO MIN ควรปรับให้น้อยที่สุด เพื่อลดการเกิดสัญญาณรบกวน หรือ Noise ส่วน ISO MAX แนะนำว่าให้ตั้งค่าประมาณ 500 ขึ้นไป

ทริคการถ่ายดาวใน GoPro 11

แนะนำเทคนิคการถ่ายดาวใน GoPro 11 เพื่อให้ภาพถ่ายดาวของคุณดูเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น!
  • หากต้องการถ่ายดาวควรเลือกวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง หรือ เป็นที่สูงจะช่วยให้สามารถเก็บภาพท้องฟ้าได้อย่างครอบคลุม
  • ควรเลือกถ่ายในที่มืด หรือไม่มีแสงไฟรบกวนจะยิ่งทำให้เห็นดาวได้ชัดเจน
  • หากเลือกถ่ายช่วงเดือนที่มีแสงพระจันทร์สว่างเกินไป จะทำให้บดบังแสงของดวงดาว และอาจส่งผลให้ถ่ายดาวไม่ติด
  • การถ่ายดาวทุกๆ ครั้ง ควรเช็กเรื่องของเวลา สถานที่ และทิศทางของดาวให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดีๆ
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเทคนิคการถ่ายดาวจาก GoPro 11 ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ หวังว่าจะเป็นแนวทางให้กับมือใหม่ที่ต้องการฝึกถ่ายดาวจากกล้อง GoPro เตรียมตัวก่อนออกทริปโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่ทั้งนี้การถ่ายดาวก็มีข้อควรระวังเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไป รวมถึงทิศทางในการถ่ายด้วย

 
สนใจกล้อง GoPro 11 เลือกซื้อได้ที่ Aquapro
แนะนำกล้องขนาดจิ๋วแต่คุณภาพแจ๋วอย่าง GoPro 11 สุดยอดกล้องแอคชั่นแคมมากความสามารถ ไม่ว่าจะถ่ายออกทริป ถ่าย Vlog หรือ ถ่ายดาว ก็ทำได้! หากสนใจสามารถเลือกซื้อ GoPro 11 พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้มได้ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ พร้อมอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์มากมาย และมีของแถมแบบจุกๆ นอกจากจะจำหน่ายโกโปรแล้ว ทางเรายังมีกลุ่มสำหรับแนะนำข่าวสาร และเทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับโกโปรเพิ่มเติม ถ้าไม่อยากพลาดอย่าลืมไปติดตาม GoPro Club กันนะ!
 


ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro
#2


สำหรับใครที่เคยเล่นกล้อง GoPro จะรู้ว่ามีฟังก์ชันมากมายที่เหมาะสำหรับการถ่ายกิจกรรมในลักษณะ Adventure โดยเฉพาะรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาอย่าง Gopro 11 และ GoPro 11 mini แล้ว หากใครที่ยังลังเลว่าจะซื้อรุ่นไหนดีระหว่าง GoPro 11 vs Gopro 11 mini วันนี้ทาง Aquapro จะพาทุกคนไปเปรียบเทียบดีไซน์ และ สเปคกล้องของทั้ง 2 รุ่นว่าจะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
 
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ GoPro 11 vs GoPro 11 mini เลือกตัวไหนดี เปรียบเทียบกันให้เห็นชัดๆ

Body ของ GoPro 11 vs GoPro 11 mini


เริ่มต้นกันที่ดีไซน์ของ GoPro 11 และ GoPro 11 mini จะมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร แต่ก่อนที่จะไปเปรียบเทียบในเรื่องของสเปค และ ฟังก์ชัน หัวข้อนี้ทาง Aquapro จะพาทุกคนไปดูความแตกต่างในเรื่องของการดีไซน์ จะมีอะไรบ้างเราไปดูพร้อมกันเลย!

ปุ่มควบคุมการทำงาน และ แบตเตอรี่
GoPro 11 เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปุ่มด้านข้างของกล้อง คือ ปุ่ม เปิด/ปิด ส่วนปุ่มด้านบนสามารถทำงานได้ 2 แบบ คือ ถ้ากด 1 ครั้งจะทำการบันทึก เมื่อกดค้างจะกลายเป็นปุ่มเปลี่ยนโหมด ส่วนเรื่องแบตเตอรี่เป็น Enduro Battery มีความจุอยู่ที่ 1720 mAh

ส่วนการดีไซน์ของ GoPro 11 mini กล้องรุ่นนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ไม่มีหน้าจอแสดงผลทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านบนมีหน้าจอ LCD เล็กๆ สำหรับแสดงโหมดการใช้งาน กล้องโกโปรรุ่นนี้จะถูกควบคุมผ่านทาง GoPro's Quik app เป็นหลัก ใช้ Enduro Battery แบบ Build in มีความจุอยู่ที่ 1520 mAh

วิธีการใช้งานของ Mini และ Gopro 11
หากใครที่เคยใช้กล้องโกโปรมาก่อน รับรองว่าใช้งานง่าย เพระา GoPro 11 มีวิธีการใช้งานไม่แตกต่างจากเดิม แถมในรุ่นนี้ยังมี Easy Mode สำหรับมือใหม่มาให้โดยเฉพาะ ส่วนทางด้าน GoPro 11 mini มีวิธีการใช้งานแตกต่างจาก GoPro รุ่นก่อนๆ เล็กน้อย เพราะต้องเข้าไปตั้งค่าความละเอียด ค่าเฟรมเรท รวมถึงเลนส์ที่ต้องการล่วงหน้าผ่านทาง GoPro's Quik app

สรุปพาร์ทการออกแบบ
โดยรวมแล้วกล้องทั้ง 2 รุ่นนี้ มีความแตกต่างกันในด้านของดีไซน์ รวมถึงโหมดควบคุมการใช้งาน อย่าง GoPro 11 จะมีปุ่มการใช้งานเหมือนกับโกโปรรุ่นก่อน คือ มีปุ่มเปิด/ปิดอยู่ด้านข้าง ส่วนปุ่มชัตเตอร์อยู่ด้านบน แต่ใน GoPro 11 mini การเปิด/ปิด รวมถึงการตั้งค่าโหมดต่างๆ จะถูกควบคุมผ่านทาง Quik app เป็นหลัก
 
ความแตกต่างของสเปคกล้องทั้ง 2 รุ่น


GoPro 11 vs GoPro 11 mini ทั้ง 2 รุ่นมีขนาดเซนเซอร์เท่ากันอยู่ที่ 1/1.9 นิ้ว พร้อมชิพประมวลผล GP2 Processor GoPro 11 mini มีจุดเด่นที่เหมือนกับ GoPro 11 ในเรื่องของความละเอียดวิดีโอ 5.3K 60fps มีระบบกันสั่น HyperSmooth 5.0 Horizon Lock 360 องศา และ โปรไฟล์สี 10-bit color depth

แต่ก็มีความแตกต่างในเรื่องของสเปคการใช้งาน โดย GoPro 11 mini ถูกตัดโหมดถ่ายภาพออก แล้วเปลี่ยนเป็นการครอบภาพจากวิดีโอแทน ซึ่งมีความละเอียดอยู่ที่ 24.7 ล้านพิกเซล ไม่มีโหมด Hindsight, ไม่มีโหมด Scheduled Capture, ไม่มีโหมด Looping Video, ไม่มีโหมด Webcam และ GPS ที่ติดมากับตัวเครื่อง
 
ความต่างในแง่ราคา ตัวไหนคุ้มค่ากว่ากัน
นอกเหนือจากเรื่องของคุณสมบัติแล้ว สิ่งที่ทำให้คุณตัดสินใจในการเลือกซื้อได้ คือ เรื่องของราคา เริ่มต้นกันที่ GoPro 11 มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 18,500 บาท ส่วน GoPro 11 mini มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 15,000 บาท ซึ่งคุณสมบัติของทั้ง 2 รุ่น ทำได้ดีแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ด้านการใช้งาน
 
GoPro 11 และ GoPro 11 mini แต่ละรุ่น เหมาะกับใคร?


สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ, ถ่าย Vlog หรือ บันทึกวิดีโอระหว่างเดินทางบอกเลยว่า GoPro 11 ตอบโจทย์สุดๆ เพราะ GoPro 11 มีจุดเด่นความละเอียดด้านการถ่ายภาพ 27 ล้านพิกเซล และ ระบบกันสั่น HyperSmooth 5.0 รวมถึงการตั้งค่าพรีเซ็ตต่างๆ ที่ทำให้ทุกการใช้งานของคุณสนุกมากยิ่งขึ้น

ส่วน GoPro 11 mini มีฟังก์ชันคล้ายกับ GoPro 11 แต่ในรุ่นนี้สร้างมาเพื่อตอบโจทย์สาย Activity โดยเฉพาะกิจกรรมในรูปแบบ Extreme Sports เพราะมีขนาดเล็ก กะทัดรัด เหมาะแก่การพกพาไปในที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวก
 
 
เลือกซื้อ GoPro 11 พร้อมโปรโมชั่นสุดคุ้ม ต้องที่ Aquapro
พบกับการเปิดตัวของ GoPro 11 mini ได้เร็วๆ นี้ ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และ อุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์มากมาย ที่พร้อมให้คุณเลือกกล้อง Action Cam ในสไตล์ที่ใช่ และสำหรับใครที่กำลังมองหา GoPro 11 ทางร้านของเรามีโปรโมชั่นสุดคุ้ม พร้อมของแถมอีกเพียบ!
นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม GoPro Club สำหรับแนะนำข่าวสาร รวมถึงเทคนิคการใช้งานเกี่ยวกับกล้องโกโปร อย่าลืมกดติดตาม เพื่อไม่ให้พลาดทุกการอัปเดตของกล้องโกโปร
 
 
 
ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro
#3


กลับมาอีกครั้งกับการ รีวิว GoPro 11 mini กล้องแอคชั่นแคมน้องใหม่มาแรงจากค่าย GoPro ด้วยฟีเจอร์การใช้งานที่สร้างมาเพื่อการถ่ายแนวแอคชั่นโดยเฉพาะ สำหรับใครที่มอง GoPro 11 mini ไว้เป็นตัวเลือก แน่นอนว่า Aquapro ไม่พลาดที่จะนำมารีวิว ตั้งแต่การดีไซน์ ไปจนถึงการใช้งานในโหมดต่างๆ
 
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ รีวิว GoPro 11 mini สาย Action Camera ห้ามพลาด!

รีวิว GoPro 11 mini ดีไซน์เป็นอย่างไร?


GoPro 11 mini มีรูปทรงที่เรียบง่าย ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ในด้านการดีไซน์ของกล้องรุ่นนี้จะเป็นอย่างไร และมีความทนทานแค่ไหน Aquapro ได้รวบรวมข้อมูลไว้ในหัวข้อนี้แล้ว!

ปุ่มควบคุมการทำงาน
รูปทรงภายนอกของ GoPro Hero 11 mini มีขนาดเล็ก และ เบากว่า GoPro 11 โดยปุ่มควบคุมการใช้งานของกล้องรุ่นนี้ มีทั้งหมด 2 ปุ่ม ปุ่มด้านบนสามารถใช้งานได้ 2 แบบ คือ แตะเพื่อเลือกโหมด หรือ กดค้างเพื่อทำการบันทึก

ส่วนปุ่มด้านหน้าใช้สำหรับกดเพื่อยืนยันคำสั่ง และ เป็นปุ่ม Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ควบคุมการใช้งานผ่านทาง GoPro's Quik app เป็นหลัก

GoPro 11 mini เหมาะสำหรับการใช้งานในรูปแบบไหน?
กล้อง GoPro 11 mini ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย และกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมที่มีความท้าทาย นอกจากพกพาง่ายแล้ว ยังทนทานต่อแรงกระแทก เนื่องจากทำด้วยวัสดุที่มีความแข็งแรงสูง และสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 10 เมตร!
 
เหตุผลที่ GoPro 11 mini ไม่มีจอ
เมื่อดูภาพรวมดีไซน์ของ GoPro 11 mini สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในรุ่นนี้ คือ ถูกตัดหน้าจอ LCD ด้านหน้าและด้านหลังออกเหมาะแก่การติดตั้งเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ติดตั้งบนหมวกกันน็อค, สายรัดอก หรือ สายรัดข้อมือ เป็นต้น ข้อดีของการไม่มีหน้าจอ คือ ไม่กินแบตเตอรี่ สามารถใช้งานได้นานสูงสุดถึง 2 ชั่วโมง!
 
วิธีการใช้งาน GoPro 11 mini


รีวิวการใช้งานของ GoPro 11 mini ถึงแม้ว่ารูปทรงของกล้องจะเปลี่ยนไป แต่วิธีใช้ไม่แตกต่างจากเดิม คุณสามารถเชื่อมต่อกล้องเข้ากับ GoPro Quik App เพื่อทำการเปิดเครื่อง จากนั้นทำการตั้งค่าความละเอียด ค่าเฟรมเรม และอื่นๆ ก่อนเริ่มต้นใช้งาน

นอกจากนี้ GoPro 11 mini ยังมีเลนส์ Cover แบบ Hydrophobic Glass ช่วยลดการเกิดแสง Ghosting และ Flare เมื่อถ่ายในที่ย้อนแสง
 
รีวิวการใช้งานในโหมดต่างๆ
เมื่อรู้วิธีการใช้งานคร่าวๆ กันไปแล้ว ในหัวข้อนี้เราจะมารีวิวการใช้งานโหมดต่างๆ และสเปคของกล้อง GoPro 11 mini คุณสมบัติการใช้งานจะเจ๋งอย่างที่เขาว่าจริงไหม? มาพิสูจน์ด้วยการใช้งานจริงในหัวข้อนี้กัน

โหมดถ่ายวิดีโอ


คุณสมบัติของ GoPro 11 mini เหมือนกับ GoPro 11 ทำให้การใช้งานของทั้งคู่ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก ทั้งขนาดเซนเซอร์ 1/1.9 นิ้ว และใช้ชิพ GP2 Processor และโปรไฟล์สี 10-bit color depth

การถ่ายวิดีโอมีความละเอียด 5K 60fps, 4K 120fps และ 2.7K 240fps รุ่น Mini ไม่มีโหมดถ่ายภาพ แต่สามารถครอบรูปภาพจากวิดีโอได้ที่ความละเอียด 24.7 ล้านพิกเซล

โหมดกันสั่น
คุณสมบัติสุดพิเศษของ GoPro ในปีนี้ ขอบอกเลยว่าถูกใจสายลุยสุดๆ นั่นก็คือ HyperSmooth 5.0 และ Horizon Lock 360°

โหมด Slow Motion


โหมด Slow Motion 8x ใน GoPro 11 mini ความสามารถของการถ่ายวิดีโอในโหมดนี้ ช่วยทำให้เกิดการเคลื่อนไหวช้าๆ และช่วยแสดงให้เห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน

Timelapse และ Timewarp
ในรุ่นนี้มีโหมด Timelapse และ Timewarp 3.0 มาพร้อมความละเอียด 5.3K 60fps และโหมดพรีเซตช่วยถ่าย ได้แก่ Star Trails�, Light Painting และ Vehicle Light Trails
 
GoPro 11 mini เหมาะกับใคร


สำหรับกล้องรุ่นล่าสุดอย่าง GoPro Hero 11 Mini ที่ทางเราได้รีวิวไปนั้น หลายๆ คนคงเห็นแล้วว่าเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทาง หรือ ทำกิจกรรมแบบโลดโผน เพราะทาง GoPro ได้พัฒนากล้องรุ่นนี้ให้เหมาะสำหรับสาย Activity โดยเฉพาะ

ทั้งนี้ยังมีบางโหมดที่ถูกตัดออกไป ยกตัวอย่างเช่น การถ่ายภาพ, Live Streaming หรือ จอหน้าสำหรับการเซลฟี่ แนะนำว่าไม่เหมาะสำหรับสาย Content Creator
 
 
เลือกซื้อ GoPro 11 mini พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษที่ Aquapro
กล้องรุ่นจิ๋วที่มาพร้อมประสิทธิภาพแบบขั้นเทพ ในเวลานี้ต้องยกให้ GoPro 11 mini น้องใหม่มาแรงจากค่าย GoPro สำหรับใครที่สนใจสามารถสั่งซื้อ พร้อมรับโปรโมชั่นสุดพิเศษได้ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และ กล้อง Action Cam พร้อมอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อีกมากมาย ให้คุณได้เลือกใช้ตรงตามไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้หากใครที่ต้องการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกล้องโกโปร ขอแนะนำกลุ่ม GoPro Club พร้อมแชร์ทริคมากมายให้คุณได้เลือกใช้งาน
 
 
 
ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro
#4


หลังจากที่ GoPro 11 เปิดตัวได้ไม่นาน เมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ก็ถึงเวลา เปิดตัว GoPro 11 mini สร้างมาเพื่อตอบโจทย์สาย Activity โดยเฉพาะ ดังนั้นการดีไซน์ และสเปคด้านการใช้งานเป็นอย่างไร มาดูรายละเอียดไปพร้อมๆ กันกับ Aquapro ได้เลย!!
 
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ เปิดตัว GoPro 11 mini กล้องตัวใหม่จากค่าย Mentagram

ดีไซน์ภายนอก GoPro 11 mini เป็นอย่างไร?


ทาง Mentagram ได้ทำการ เปิดตัว GoPro 11 mini ซึ่งการเปิดตัวของแต่ละรุ่นทางโกโปรไม่เคยทำให้ผิดหวัง เพราะจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เซอร์ไพร์สอยู่ตลอด แต่ก่อนที่จะไปดูเรื่องของสเปคการใช้งาน ไปดูกันก่อนดีกว่าว่าGoPro11 mini จะมีดีไซน์แตกต่างจากเดิมอย่างไร

ด้านรูปทรงภายนอก
กล้องโกโปร 11 มินิ เป็นเวอร์ชันที่มีขนาดเล็กลง และมีน้ำหนักเบากว่าโกโปร 11 อยู่ที่ 133 กรัม ไม่มีหน้าจอแสดงผล ถ้าสังเกตจะเห็นว่ามี Mount สำหรับยึดกล้องติดกับฐาน และด้านหลัง การออกแบบที่ติด Mount ในลักษณะนี้แน่นอนว่าสามารถยึดติดกับ Chesty mount หรือ นำไปเชื่อมต่อกับขาตั้งกล้อง เพื่อทำ Activity ต่างๆ ได้สบายๆ

ปุ่มควบคุมการทำงาน
โกโปร 11 มินิจะมีปุ่มด้านบนสามารถใช้งานได้ 2 แบบ คือ แตะเพื่อเลือกโหมด หรือ กดค้างเพื่อทำการบันทึก ส่วนปุ่มด้านหน้าใช้สำหรับกดเพื่อยืนยันคำสั่ง ส่วนโหมดอื่นๆ สามารถควบคุมการทำงานผ่านทาง GoPro's Quik app

เปิดตัว GoPro 11 mini พร้อมบอกสเปค


ทางเราได้เตรียมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสเปคของโกโปร 11 มินิ มาไว้ให้คุณแล้ว! เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจก่อนเลือกซื้อ

  • แบตเตอรี่ รุ่นนี้ใช้ Enduro Battery มีขนาดความจุอยู่ที่ 1520 mAh
  • หน่วยประมวลผล GoPro11 mini ใช้หน่วยประมวลผล GP2 Processer ขนาดเซนเซอร์ 1/1.9 นิ้ว
  • ความละเอียดวิดีโอ รองรับความละเอียดสูงสุดที่ 5K 60fps, 4K 120fps และ 2.7K 240fps
  • ระดับสี ระดับความลึกของเฉดสีอยู่ที่ 10-bit color depth
  • HyperSmooth 5.0 รุ่นนี้มีระบบกันสั่นเทียบเท่ากับโกโปร 11 และโหมด Horizon Lock 360 องศา
  • มุมมองภาพ โหมดวิดีโอมีเลนส์ให้เลือกเหมือนกับรุ่น 11 ได้แก่ Hyperview, Superview, Timelapse และ Timewarp
  • Timelapse – Timewape 3.0 มีความละเอียดอยู่ที่ 5.3K 30fps และมีพรีเซตให้การถ่าย Night Mode ได้แก่ Star Trails�, Light Painting และ Vehicle Light Trails
  • ความสามารถกันน้ำ กันน้ำได้ที่ความลึก 10 เมตร หากไม่มีอุปกรณ์กันน้ำ สามารถกันได้ลึก 5 เมตร
  • ปุ่มควบคุมการใช้งาน โกโปรรุ่นนี้สามารถควบคุมการใช้งานง่ายๆ ผ่านทาง GoPro's Quik app
  • Max Lens Mod ได้มุมมองภาพกว้างขึ้นถึง 155 องศา

มีอะไรแตกต่างจาก GoPro 11 บ้าง?


เมื่อพูดถึงด้านความแตกต่างของ GoPro11 mini และ GoPro11 มีความแตกต่างในด้านของดีไซน์ และมีคุณสมบัติการใช้งานบางอย่าง หากเป็นเรื่องของดีไซน์จะแตกต่างกันในเรื่องของ รูปทรง ขนาด หน้าจอทัชสกรีน และแบตเตอรี่ Build in ที่ติดมากับตัวเครื่อง
รวมถึงปุ่มควบคุมการทำงาน การตั้งค่าต่างๆ ภายในกล้องที่ส่วนใหญ่จะทำผ่าน Quik app โดยตรง ถัดมาเป็นเรื่องสเปคการใช้งาน ส่วนใหญ่การทำงานจะคล้ายกับ GoPro11 แต่ก็มีบางฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ตัดโหมดถ่ายภาพออก
  • ไม่มีโหมด Hindsight
  • ไม่มี Scheduled Capture
  • ไม่มีโหมด Looping Video
  • ไม่มีโหมด Web Cam
  • ไม่มี GPS
GoPro 11 mini มีความสามารถด้านการใช้งานใกล้เคียงกับ GoPro11 ถ้าใครที่เป็นสายออกทริป หรือสาย Activity แบบลุยๆ ขอบอกเลยว่ารุ่นนี้ตอบโจทย์อย่างแน่นอน!!
 
 
หลังการ เปิดตัว GoPro 11 mini รอชมรีวิว ได้ที่ Aquapro
สำหรับใครที่เคยใช้งานกล้องโกโปรมาก่อน กล้องรุ่นนี้เหมาะกับคุณอย่างแน่นอน เพราะมีระบบการทำงานใกล้เคียงกับรุ่นก่อน แถมรองรับการใช้งานที่สะดวกมากยิ่งขึ้น และถ้าหากใครที่กำลังรอ GoPro 11 mini สามารถติดตามข้อมูลอัปเดตได้ที่ Aquapro ร้านตัวแทนจำหน่ายกล้องโกโปรแท้ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมอุปกรณ์เสริมมากมาย ที่เกี่ยวกับกล้อง Action Cam ในบทความหน้าเราจะมาทำการรีวิว GoPro 11 mini คุณสมบัติการใช้งานจะตอบโจทย์สาย Activity มากแค่ไหน สาวกโกโปรต้องห้ามพลาด!!
 
 
 
ติดตาม และ สั่งซื้อสินค้า AquaPro เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชั่นใหม่ๆ ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook : AquaproThailand
Line : @aquapro
Shopee : Aquaprothailand
GoPro Group : GoPro Club กลุ่ม พูดคุย ซื้อขาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับ GoPro
#5

ปัจจุบันการ เสริมหน้าอก เป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากเทคนิคการผ่าตัดพัฒนามากขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่าทุกการศัลยกรรมอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาในภายหลัง สำหรับสาวๆ คนไหนที่เสริมหน้าอกแล้วเกิดปัญหา Rippling หรือ ซิลิโคนเป็นคลื่นริ้ว หากพบเจอปัญหานี้แน่นอนว่าจะทำให้คุณหมดความมั่นใจ แต่วันนี้ทาง Bujeong Clinic จะมาเผยสาเหตุ พร้อมบอกเคล็ดลับการดูแลสำหรับคนเสริมหน้าอก เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับสาวๆ รับรองว่าวิธีรับมือง่ายนิดเดียว!
 

Rippling หรือ รอยคลื่น คืออะไร


ภาวะ Rippling หรือ นมเป็นคลื่น คือ การเกิดรอยย่นบริเวณขอบถุงซิลิโคน เมื่อสัมผัสแล้วรู้สึกได้ถึงความขรุขระของผิว ไม่เรียบเนียน ปัญหานี้เกิดขึ้นจากความไม่พอดีของโพรง กับขนาดซิลิโคน เมื่อระยะเวลาผ่านไป หากมีการหดรัดของโพรงมากขึ้น จะส่งผลให้โพรงบีบซิลิโคนจนเกิดเป็นคลื่นริ้ว
 
สาเหตุของการเกิดรอยย่น Rippling


นอกเหนือจากโครงสร้างของผิวหน้าอกบางแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ผู้เสริมหน้าอกต้องทำความเข้าใจ ดังนี้

  • เกิดจากสภาพร่างกายของผู้เข้ารับบริการ เช่น ผิวหน้าอกบาง เนื้อหน้าอกน้อย
  • เลือกใช้ซิลิโคนที่มีขนาดใหญ่เกินไป
  • ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัด เช่น การใส่ซิลิโคนแบบเหนือกล้ามเนื้อในผู้ที่มีผิวหน้าอกบาง
  • มีการเลาะโพรงหน้าอกแคบเกินไป ทำให้โพรงเกิดการบีบรัดซิลิโคนจนเป็นริ้ว
  • คุณภาพของซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมหน้าอกไม่ผ่านมาตรฐานการรับรอง
  • เนื้อสัมผัสของผิวซิลิโคน

มีวิธีป้องกัน และ แก้ไขอย่างไร?


อย่างที่บอกไปว่าการเกิด Rippling นั้นไม่มีอันตราย แต่อาจทำให้เกิดไม่มั่นใจเวลาใส่เสื้อผ้า ซึ่งในหัวข้อนี้ทางเราได้รวบรวมเคล็ดลับการป้องกัน และ วิธีแก้ไข เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่เกิดความกังวลใจกับปัญหา ซิลิโคนเป็นคลื่น

  • เลือกซิลิโคนที่มีขนาดเหมาะสมกับสรีระร่างกาย
  • สำหรับผู้ที่มีผิวหน้าอกบาง ควรเลือกใช้เทคนิคเสริมซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อแบบ Dual Plane
  • แผลผ่าตัดต้องไม่เล็กจนเกินไป
  • หากเกิดคลื่นริ้วเพียงเล็กน้อย สามารถแก้ไขด้วยวิธีการเพิ่มน้ำหนัก
  • หากเกิดคลื่นริ้วมาก และไม่สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ ศัลยแพทย์จะแนะนำให้เพิ่มขนาดหน้าด้วยการเสริมหน้าอก แบบ Hybrid หรือการเติมไขมันของตนเองเข้าไป
  • หมั่นนวดหน้าอกเป็นประจำเพื่อขยายโพรงหน้าอก
  • เลือกใช้ซิลิโคนที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหาร และยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) รวมถึงคลินิกเสริมความงามที่เลือกใช้บริการ ก็ต้องผ่านมาตรฐานการรับรองด้วยเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เกิดขึ้น อย่างเช่น คนไข้มีโครงสร้างผิวบาง และใส่ซิลิโคนอยู่เหนือกล้ามเนื้อ ต้องได้รับการแก้ไขโดยเปลี่ยนมาใส่ซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อแทน
 
ข้อแนะนำหลังเสริมหน้าอก


ในกรณีที่เสริมหน้าอกไประยะหนึ่งแล้วเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็น การคลำแล้วเจอขอบซิลิโคน หรือ สังเกตเห็นซิลิโคนเป็นริ้วชัดเจน ปัญหาเหล่านี้เราสามารถแก้ไขได้ โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวิเคราะห์ถึงสาเหตุ เพื่อการผ่าตัดแก้ไขที่ง่ายยิ่งขึ้น
 

เสริมหน้าอก กับ Bujeong Clinic รับรองความปลอดภัย ซิลิโคนไม่เป็นคลื่น!

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี

 
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999
#6

การหาข้อมูล หรือดูรีวิวก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรม ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะใครๆ ก็อยากได้ผลลัพธ์ที่ดี สำหรับสาวๆ คนไหนที่มีแพลน ทำจมูก เร็วๆ นี้ อาจเกิดคำถามว่า ฉีดยาชาเสริมจมูกเจ็บไหม ? วันนี้ Bujeong Clinic มาพร้อมกับคำตอบเกี่ยวกับการฉีดยาชาก่อน เสริมจมูก เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมตัวสำหรับสาวๆ ที่ต้องการหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเสริมจมูก 
 
สามารถอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ ตอบคำถามยอดฮิต! ฉีดยาชาเสริมจมูกเจ็บไหม

ทำไมถึงต้องฉีดยาชา ก่อนทำจมูก


เนื่องจากการศัลยกรรมจมูกเป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก จึงจำเป็นต้องใช้ยาชาเฉพาะทาง ซึ่งการเลือกใช้ประเภทของยาชาจะขึ้นอยู่กับความซับซ้อนในการผ่าตัด และความชำนาญของศัลยแพทย์ โดยแบ่งการฉีดออกเป็น 2 วิธีหลักๆ คือ การฉีดเฉพาะจุด กับ การฉีดที่ตอของเส้นประสาท

ทำไมจึงไม่นิยมดมยาสลบในการทำจมูก?
เหตุผลที่การศัลยกรรมจมูกไม่นิยมดมยาสลบในขณะผ่าตัด เพราะเป็นการผ่าตัดเล็กจึงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงใช้วีธีการดมยาสลบ ที่อาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อของร่างกาย หากใช้กับผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยาสลบ หรือแพ้ยาชนิดอื่นๆ อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ขั้นตอน ฉีดยาชา ทำจมูก
เมื่อเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัด แพทย์จะทำการฉีดยาชาไปยังบริเวณเนื้อเยื่อจมูก โดยใช้เวลาเพียง 3-5 นาทีเท่านั้น
 
ฉีดยาชา ทำจมูก ออกฤทธิ์อย่างไร อยู่ได้นานเท่าไหร่


หลังจากฉีดยาชาเข้าไปยังบริเวณที่ทำการผ่าตัดจะใช้เวลา 1-2 นาที หลังจากนั้นจะออกฤทธิ์ได้สูงสุด 3 ชั่วโมง โดยฤทธิ์ของยาอย่างที่รู้กันดีว่า ใช้เพื่อระงับการส่งความรู้สึกไปยังเส้นประสาท แต่ผู้เข้ารับการผ่าตัดยังคงมีสติ และรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอยู่ 
 
ฉีดยาชาเสริมจมูกเจ็บไหม ?
การฉีดยาชาเสริมจมูก คุณจะรู้สึกเจ็บขณะฉีดเพียงไม่กี่นาที เพราะยาชามีฤทธิ์เป็นกรดสูงกว่าร่างกาย จึงทำให้รู้สึกเจ็บเฉพาะตอนเดินยา ทั้งนี้การบรรเทาความเจ็บจากการฉีดยาชา สามารถบรรเทาอาการเจ็บได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้

ควร ฉีดยาชา ทำจมูก อย่างไรให้เจ็บน้อยที่สุด


  • เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์เป็นกรดมากกว่ากรดบนผิวหนัง หากต้องการบรรเทาอาการเจ็บขณะฉีด ต้องใช้ bicarbonate ที่มีฤทธิ์เป็นด่างผสมในยาชา
  • บรรเทาอาการเจ็บด้วยการฉีดบล็อกที่ตอเส้นประสาทก่อน แล้วจึงทำการฉีดส่วนที่เหลือของจมูก
  • การฉีดเฉพาะจุดมีเทคนิคที่ทำให้การฉีดลดความเจ็บลงได้ คือ การค่อยๆ ฉีดให้ยาชากระจายนำปลายเข็ม แล้วจึงฉีดในจุดต่อๆ ไป
  • ถ้าต้องการลดความเจ็บในเข็มแรก ต้องอาศัย Pinch Technique วิธีนี้จะช่วยลดการสัมผัสกับปลายเส้นประสาท และลดความเจ็บปวดจากปลายเข็ม
  • การเดินยาช้าๆ ในขณะฉีด
  • ใช้เข็มขนาดเล็กสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บลงได้

ข้อดีของการ ฉีดยาชา ทำจมูก
ข้อดีของการฉีดยาชาในการเสริมจมูกนั้น แม้ว่าจะส่งผลให้บริเวณที่ผ่าตัดไม่มีความรู้สึก แต่ในยาชามีสาร adrenaline ที่มีส่วนช่วยห้ามเลือดในการผ่าตัด ถ้าหากฉีดยาเข้าไปในชั้นผิวหนังที่ถูกต้อง ฤทธิ์ของยาชาจะทำให้ชั้นต่างๆ ของผิวหนังแยกออกจากกัน ยิ่งช่วยทำให้การผ่าตัดเป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น
 
ผลข้างเคียง


ถึงแม้ว่าคุณสมบัติของยาชา จะมีความปลอดภัยอยู่ในระดับที่สูง เมื่อเทียบกับวิธีการระงับความรู้สึกในรูปแบบอื่นๆ แต่ก็อาจส่งผลเสียให้กับคนไข้ได้ ซึ่งผลข้างเคียงจะแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ

ผลข้างเคียงทั่วไป

  • มีเลือดออก มีรอยฟกช้ำ และอาจรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยบริเวณที่รักษา
  • รู้สึกปวด หรือ ไม่สบายตัวในบริเวณที่ถูกฉีดยาชา
  • รู้สึกเจ็บบริเวณที่ทำการรักษา

ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

  • หัวใจเต้นเร็ว สายตาพร่ามัว
  • เจ็บหรือแน่นบริเวณหน้าอก
  • กล้ามเนื้อกระตุก
  • มีอาการแพ้ยา เช่น มีผดผื่นคัน หน้าบวม หายใจติดขัด ไปจนถึงภาวะชักหรือหัวใจหยุดเต้น

 
มองหาคลินิกเสริมจมูกคุณภาพ ส่งตรงจากเกาหลี ต้องที่ Bujeong Clinic

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี

 
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999
#7


สำหรับคนที่มีฐานจมูกใหญ่การเสริมจมูกด้วยซิลิโคน แม้ว่าจะทำให้สันจมูกดูโด่งขึ้น แต่ทรงที่ได้อาจจะยังดูไม่เป็นธรรมชาติ คุณสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยเทคนิคการ เหลาฐานจมูก หากใครที่สนใจ วันนี้ทาง Bujeong Clinic ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเหลาฐานจมูกมาไว้ให้คุณแล้วในบทความนี้!
 
สามารถอ่านบทความเต็มๆ ได้ที่นี่ เหลาฐานจมูก คืออะไร? เหมาะกับใคร พูจองมีคำตอบ

เหลาฐานจมูก คืออะไร?


การ เหลาจมูก คือ วิธีการปรับฐานจมูกที่กางออกมาให้แคบลง โดยการผ่าตัดเลื่อยกระดูกฐานจมูกด้านในให้เล็กลง และปรับให้เหมาะสมกับสันกระดูกของจมูกด้านนอก เทคนิคการเหลาฐานจมูก อาจจะฟังดูคล้ายกับการตอกฐานจมูก แต่จริงๆ แล้วทั้ง 2 เทคนิคนี้มีความแตกต่างกัน

เพราะการเหลาฐานจมูกจะทำด้วยวิธีการผ่าตัด แล้วเลื่อยกระดูกฐานจมูกด้านในให้เล็กลง แล้วปรับให้เข้ากับรูปหน้า โดยการแก้ไขจมูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ นั่นก็คือ

  • การแก้ไขภาวะปกติ คือ การแก้ไขโครงสร้างของจมูกที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด อย่างเช่น ฐานกระดูกจมูกไม่เท่ากัน, จมูกเอียง หรือ มีปุ่มกระดูกนูนกลางจมูก (ฮัมพ์)

  • การแก้ไขภาวะแทรกซ้อน คือ การแก้ไขจมูกในผู้ที่เคยผ่านการเสริมจมูกมาแล้ว และเกิดปัญหาซิลิโคนทะลุ, ซิลิโคนเอียง หรือ เกิดการอักเสบ เป็นต้น

การเหลาจมูกช่วยอะไร?

สำหรับใครที่มีปัญหาจมูกใหญ่ ฐานจมูกกว้าง คุณสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ด้วยการผ่าตัดเลื่อยฐานกระดูก และปรับให้เหมาะสมกับรูปหน้า ถ้าหากต้องการปรับแก้โครงสร้างจมูกจำเป็นต้องอาศัยเทคนิค เหลาฐานจมูก ก่อนทำการเสริมจมูก ซึ่งเทคนิคดังกล่าวจะเหมาะกับจมูกลักษณะใดบ้างตามไปดูกัน!


การ เหลาฐานจมูก เหมาะกับใคร

1. กระดูกฐานจมูกกว้าง เกิดจากกระดูกโครงสร้างของจมูกใหญ่ทั้ง 2 ข้าง สามารถทำได้ด้วยวิธีผ่าตัดเลื่อยฐานจมูก หากทำร่วมกับการตอกตัดฐานจมูก ยิ่งทำให้รูปทรงของจมูกดูเรียวเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

2. จมูกมีฮัมพ์ สำหรับคนที่มีฮัมพ์จมูกลักษณะนี้จะมีโครงสร้างคดเอียง และมีปลายจมูกงุ้ม วิธีแก้ไขสามารถทำได้ด้วยการเหลากระดูกที่นูนออกมา ในกรณีที่มีฮัมพ์เล็กสามารถปรับแก้ด้วยการ เหลาจมูก เพื่อให้ฐานจมูกดูเรียบขึ้นได้ แต่สำหรับคนที่มีฮัมพ์ขนาดใหญ่ แนะนำว่าควรแก้ไขด้วยการตอกตัดฐานจมูกร่วมด้วย

3. สันจมูกกว้าง การที่มีสันจมูกกว้างจะทำให้สันจมูกดูไม่โดดเด่น ในกรณีนี้สามารถผ่าตัดลดกระดูกจมูกให้เล็กลงหรือเหลาฐานจมูก เพื่อปรับโครงสร้างของจมูกให้เข้ากับรูปหน้ามากที่สุด

4. สันจมูกดูต่ำกว่าความสูงของสันจมูกจริง ปัญหาสันจมูกต่ำจะทำให้รูปทรงของจมูกดูแบน เมื่อเสริมซิลิโคนเข้าไปอาจทำให้รูปทรงของจมูกดูใหญ่ขึ้น การแก้ไขสามารถใช้วิธีตะไบกระดูก เพื่อช่วยลดความหนา และใช้วิธีผ่าตัดเหลาฐานจมูกร่วมด้วย
 
เหลาจมูก เจ็บไหม มีผลข้างเคียงอย่างไร?


การเหลาฐานจมูกเป็นขั้นตอนที่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ เพราะมีการใช้ยาชาหรือดมยาสลบขณะผ่าตัด เหมือนกับการศัลยกรรมจมูกทั่วๆ ไป นอกจากนี้การศัลยกรรมเหลาฐานจมูก อาจมีผลข้างเคียงหลังผ่าตัดที่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนี้

  • เกิดอาการเลือดออกในจมูก

  • มีอาการบวมช้ำมากกว่าการเสริมจมูกทั่วไป เนื่องจากกระดูกบริเวณแกนจมูกเคลื่อนที่


ปรับทรงจมูกให้สวย ด้วยเทคนิคเหลาฐานจมูก ที่ Bujeong Clinic

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ  นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี

 
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999
#8


สำหรับใครที่ทำจมูกแล้วต้องการตัวช่วยที่ทำให้จมูกของคุณเข้ารูป ได้ทรงสวย การตอกฐานจมูกถือเป็นเทคนิคที่ช่วยปรับรูปทรง และทำให้จมูกดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น วันนี้ทาง Bujeong Clinic ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการตอกฐานจมูก เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ สำหรับผู้ที่ต้องการปรับลุคความสวยนอกเหนือจากการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน


ตอกฐานจมูกคืออะไร

"การตอกฐานจมูก" เทคนิคนี้เป็นวิธีการทำให้ฐานสองข้างของสันจมูกเท่ากัน ดูเรียว และ ได้รูปมากขึ้น เป็นการปรับแต่งรูปทรงของจมูก เพื่อเสริมซิลิโคนเข้าไปได้ง่ายยิ่งขึ้น

ตอกฐานจมูกช่วยอะไรบ้าง?
การเสริมซิลิโคนเป็นเพียงการเพิ่มความโด่งของสันจมูกเท่านั้น ถ้าหากต้องการทำให้จมูกของคุณเข้ารับกับใบหน้า การตอกฐานจมูกจะเป็นเทคนิคที่ช่วยทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

  • ช่วยให้การศัลยกรรมจมูกได้ทรงสวย การ ตอกฐานจมูก คือ วิธีการที่แพทย์สามารถดีไซน์รูปทรงและความกว้างของสันจมูกให้ฐานมีความเท่ากันทั้งสองข้าง

  • ช่วยลดการเบี้ยวเอียง และลอยของซิลิโคนได้ หากใครที่กำลังประสบปัญหาฐานจมูกไม่เท่ากัน ขอแนะนำการตอกฐานจมูกสำหรับทุกๆ เคสที่มีการเสริมจมูก เทคนิคนี้จะช่วยลดการเบี้ยว เอียง และลอยของซิลิโคนได้

  • ช่วยลดขนาดตรงสันจมูกฮัมพ์ใหญ่ ก่อนเสริมใส่ซิลิโคน การตอกฐานจมูกจะช่วยปรับสันจมูกให้เล็ก และเรียบตรง เมื่อเสริมซิลิโคนจะทำให้จมูกมีทรงสโลปสวย เข้ากับใบหน้า

  • ช่วยปรับแต่ง และลดขนาดของแกนจมูก สำหรับเคสที่กระดูกบริเวณแกนจมูกนูนออกมามากเกินไป การตอกฐานจมูกจะช่วยบีบให้ฐานจมูกแคบลง

  • ช่วยปรับโครงสร้างจมูกได้หลายแบบ เทคนิคการตอกฐานจมูก สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างได้หลายลักษณะ เพื่อให้ได้สัดส่วนตามที่ต้องการ เช่น จมูกฮัมพ์ใหญ่ จมูกโก่งงุ้ม จมูกเบี้ยว เอียง แกนคด

ตอกฐานจมูก คือ มีกี่แบบ


สำหรับการตอกฐานจมูกสามารถเลือกทำได้ทั้ง 3 เทคนิค ไม่ว่าจะเป็นการทำจมูกแบบกึ่งเปิด (Semi-open) เทคนิคเปิด (Open) หรือ เทคนิคปิด (Closed) ซึ่งการผ่าตัดทั้ง 3 เทคนิคสามารถทำได้ ดังนี้

1. การผ่าตัดแบบกึ่งเปิด (Semi-Open Nose Recon)
การผ่าตัดด้วยวิธีการนี้ แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลผ่านรูจมูกทั้ง 2 ข้าง แล้วเข้าไปปรับโครงสร้างของจมูกในทุกๆ ส่วนให้เป็นไปตามรูปทรงที่ต้องการ

2. การผ่าตัดจมูกแบบเปิด (Open Nose Recon)
การผ่าตัดด้วยวิธีการนี้ แพทย์จะทำการผ่าเปิดแผลให้เห็นโครงสร้างจมูกทั้งหมด จากนั้นจึงสอดอุปกรณ์เข้าไปตัดแต่งกระดูกส่วนเกิน ด้วยการตอกฐานให้แคบลงและกรอฐานจมูกให้เรียบ ซึ่งวิธีแบบเปิดเหมาะกับเคสที่มีฮัมพ์ขนาดใหญ่ มีแกนคด และมีฐานจมูกกว้าง

3. การผ่าตัดจมูกแบบปิด (Closed Nose Recon)
แพทย์จะผ่าเปิดแผลขนาดพียง 2 มิลลิเมตร ข้างใดข้างหนึ่งของสันจมูก แล้วทำการสอดเครื่องมือขนาดเล็กเข้าไปตอกฐานจมูก วิธีการนี้เหมาะสำหรับคนที่มีฐานจมูกกว้าง แต่ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาแกนจมูกคด

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับฐานจมูกทั้งนี้ก่อนการศัลยกรรมจมูก แพทย์จะวิเคราะห์เลือกใช้รูปแบบการผ่าตัด และตอกฐานจมูกซึ่งสามารถทำได้ 2 แบบ คือ

1. การตอกฐานจากด้านนอก (บริเวณ 2 ข้างของสันจมูก)
วิธีการนี้จะใช้เครื่องมือเพื่อปรับฐานจมูกที่กว้าง ไม่ได้รูป ให้หุบแคบลง และมีขนาดเท่ากันมากขึ้น ก่อนใส่ซิลิโคน ซึ่งจะมีแผลขนาด 2-3 มิลลิเมตร ข้างสันจมูกทั้ง 2 ข้าง แล้วค่อยๆ จางให้ไป

2. การตอกฐานจากด้านในรูจมูก
วิธีการนี้จะใช้เครื่องมือสอดเข้าไป บริเวณแผลเดียวกับการเสริมจมูก และทำการตกแต่งฐานจมูกก่อนใส่ซิลิโคน วิธีนี้จะช่วยไม่ให้มีแผลเป็นด้านนอก และลดความบวมช้ำของใบหน้า

การตอกฐานจมูก เหมาะกับใคร


ก่อนตัดสินใจตอกฐานจมูก สิ่งที่ควรรู้ คือ ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมในลักษณะนี้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในภายหลัง โดยการตอกฐานจมูกเหมาะกับคนที่มีจมูกในลักษณะต่างๆ ดังนี้

  • ฮัมพ์จมูกใหญ่

  • ฐานข้างจมูกไม่เท่ากัน

  • ฐานข้างจมูกใหญ่

  • ฐานจมูกเอียง

  • ฐานจมูกกว้าง ไม่ได้รูป

การเตรียมตัวก่อนและหลังทำ ตอกฐานจมูก


การเตรียมตัวก่อนและหลังทำเสริมจมูกตอกฐาน มีวิธีการเตรียมตัวก็คล้ายกับการทำศัลยกรรมทั่วไป ได้แก่

  • ปรึกษาแพทย์ เข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการประเมินว่า ควรใช้เทคนิคอะไรในการปรับรูปทรงจมูก

  • แจ้งข้อมูลการแพ้ยา แพ้อาหาร หากคนไข้มีประวัติการแพ้ยา หรือแพ้อาหาร ควรแจ้งแพทย์ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ใช้ประจำ

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และ สูบบุหรี่ ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง และงดดื่มกาแฟ งดสูบบุหรี่ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน

  • งดวิตามิน หรือ ยาที่มีผลต่อการทำงานของเลือด ควรงดทานวิตามินและยาอย่างน้อย 1 เดือนก่อนและหลังการผ่าตัด เนื่องจากวิตามินเหล่านี้จะส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้แผลเกิดการบวมช้ำ

  • ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง และพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเข้ารับการผ่าตัด


ตอกฐานจมูกให้สวยละมุน แบบสาวเกาหลี ต้องที่ Bujeong Clinic

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ  นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี



สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999


#9


ปัจจุบันมีเทคนิคด้านการศัลยกรรมที่พัฒนามากขึ้น ทำให้การผ่าตัดเสริมจมูกเป็นไปได้โดยง่าย และเกิดแผลขนาดเล็ก จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนทุกเพศและทุกวัย ปัจจุบันคนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดอายุน้อยกว่า 20 ปีลงเรื่อยๆ วันนี้ทาง Bujeong Clinic จะมาตอบคำถามว่า อายุ 18 ทําจมูกได้ไหม พร้อมแนะนำช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการเสริมจมูก


อายุ 18 ทําจมูกได้ไหม ?


สำหรับวัยรุ่นที่อยากทำจมูก คำถามที่มักเกิดขึ้น คือ อายุ 18 ทําจมูกได้ไหม ? คำตอบ คือ "ได้" เพราะอายุ 18 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่ และเป็นช่วงที่กระดูกอ่อนบริเวณจมูกไม่มีการเติบโตไปมากกว่านี้ แต่คนที่เสริมจมูกก่อนอายุ 18-20 ปี ร่างกายและเนื้อเยื่อบริเวณจมูก ยังโตไม่เต็มที่ อาจทำให้รูปทรงของจมูกเกิดการเปลี่ยนแปลง และมีโอกาสสูงที่เราจะต้องแก้ไขจมูกในอนาคต
 
ศัลยกรรมในช่วงอายุน้อย ส่งผลเสียอย่างไร?


หลังจากที่ทราบกันไปแล้วว่า อายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถศัลยกรรมได้ แต่การศัลยกรรมก่อนอายุ 18 ปี จะเกิดผลเสียตามมามากมาย จะมีอะไรอีกบ้างตามไปดูกัน!

  • อวัยวะเติบโตไม่เต็มที่ การทำศัลยกรรมด้วยการผ่าตัดเสริมอวัยวะที่ต้องใช้วัสดุใส่เข้าไปในร่างกาย ซึ่งวัสดุดังกล่าวจะเข้าไปกดทับเนื้อเยื่อและกระดูกบริเวณนั้น ทำให้เจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ตามช่วงอายุ

  • รูปทรงไม่สวยงาม ช่วงอายุ 12-17 ปี เป็นวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถ้าทำศัลยกรรมในช่วงที่ร่างกายโตไม่เต็มที่ เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้รูปทรงมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลง เพราะวัสดุที่เสริมเข้าไปไม่สามารถเจริญเติบโตตามร่างกายได้

  • เจ็บตัวหลายรอบ การทำศัลยกรรมตอนที่ร่างกายยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดการปรับแก้ เพื่อให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ

  • เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมาก เมื่อมีการศัลยกรรมหลายรอบส่งผลให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะต้องมีการนำวัสดุที่เสริมครั้งแรกออก ก่อนทำการใส่วัสดุใหม่เพื่อเสริมเข้าไปแทนที่

เสริมจมูกได้ตอนอายุเท่าไหร่


จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมจมูก หรือ การผ่าตัดเพื่อลดขนาดจมูก สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเติบโตเต็มที่ ทำให้รูปทรงของจมูกที่เสริมมีลักษณะเข้ากับใบหน้าได้ดี

ถ้าหากใครที่มีแพลนเสริมจมูก นอกจากเรื่องของอายุแล้ว ยังมีข้อสังเกตอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องพิจารณาว่าคุณจัดอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเสริมจมูกได้หรือไม่

  • คนไข้ควรมีอายุ 18-20 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่เนื้อเยื่อ และกระดูกของจมูกเจริญเติบโตเต็มที่

  • ไม่ได้อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ หรือ ให้นมบุตร

  • ไม่แนะนำในผู้ที่ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หรือ โรคหลอดเลือดผิดปกติต่าง ๆ เช่น เส้นเลือดตีบ

  • ไม่แนะนำในผู้ที่มีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อการผ่าตัด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น

  • หากเป็นหวัด หรือมีแผลติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนเสริมจมูก

  • ไม่แนะนำในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV)

  • สำหรับผู้ที่จัดฟันควรจัดฟันให้เสร็จก่อน เพราะการจัดฟันแนวฟันจะถูกบีบให้เล็กลง มีส่วนทำให้จมูกดูโด่งขึ้น

การทำจมูกยังต้องพิจารณาทั้งรูปหน้า และ รูปทรงจมูก ที่สำคัญควรเลือกแพทย์และคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อระหว่างการเข้ารับการศัลยกรรม


เสริมจมูกทรงสวย ตามแบบฉบับเกาหลี ต้องที่ Bujeong Clinic

Bujeong Clinic (ศูนย์ศัลยกรรมพูจองคลินิก) เป็นคลินิกเสริมความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรม และ หัตถการ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ มาตรฐานความปลอดภัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์ไทย และ แพทย์เกาหลี ที่มากด้วยประสบการณ์ ที่พร้อมจะเนรมิตให้คุณสวยแบบที่ต้องการ  นอกจากนั้นแล้วพูจองคลินิกยังมีสาขาให้เลือกมากมายถึง 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด เพราะความสวยไม่รอใคร อยากสวยเลือกทำที่ Bujeong Clinic !

มั่นใจ ปลอดภัย และ ได้มาตรฐาน พูจองคลินิกส่งตรงความงาม แบบฉบับเกาหลี



สามารถติดตาม Bujeong Clinic สำหรับเสริมความงาม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong Clinic – พูจอง คลินิก
Line : @Bujeong-Clinic
Tel : 088-050-1111
 
สามารถติดตาม Bujeong Clinic Surgery Center สำหรับศัลยกรรม ช่องทางต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
Facebook : Bujeong surgery center
Line : @bujeongsurgery
Tel : 061-042-2999
#10


สาวๆที่กำลังมองหาตัวช่วยสำคัญในการเมคอัพผิวให้สวยดูเป็นธรรมชาติและลดขั้นตอนในการเตรียมผิว แน่นอนว่าในเวลาที่เร่งรีบ คุชชั่น เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากที่สุด! ทั้งให้การปกปิด มอบผิวสวยดูเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังพกพาง่าย สำหรับใครที่เคยใช้แต่รองพื้น หากคุณได้ใช้ คุชชั่นจองแซมมุล แล้วล่ะก็ จะต้องตกหลุมรักคุชชั่นตัวนี้อย่างแน่นอน >< เพราะนอกจากจะสามารถมอบผิวสวยได้ไม่แพ้การใช้รองพื้นปัญหาคราบ วอก หนา โบ๊ะ จะหมดไป เพราะมีหลายสูตรให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของสภาพผิว


สาวก คุชชั่นจองแซมมุล แบบเราจึงมีตัวที่ใช้ซ้ำประจำใจอย่าง Masterclass Radiant Cushion และอัปเดตของใหม่ด้วย Skin Nuder Cover Layer Cushion ที่เป็น Cushion 2022 ตัวใหม่มาแรงที่ฮ็อตสุดๆ สาวกจองแซมมุลต้องมีทั้ง 2 รุ่นแล้วล่ะค่ะ! แล้วคุชชั่นสองรุ่นนี้เหมือนหรือต่างกันยังไง รุ่นไหนเหมาะกับผิวแบบไหน แล้วให้งานผิวออกมาอย่างไรกันนะ?  แจนได้รวบรวมคำตอบของ คุชชั่นจองแซมมุล ทั้งสองรุ่นมาให้ที่นี่แล้วค่ะ ^^

มาดูกันเลยว่า คุชชั่นจองแซมมุล รุ่นไหนปัง!


: คุณสมบัติ :
  • Masterclass Radiant Cushion : คุชชั่นที่มอบการปกปิดให้ผิวแบบ Full Coverage โดยมี Radiant Mool Ampoule ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยคงความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง พร้อมให้ผลลัพธ์แบบผิวฉ่ำโกลว์แบบสุขภาพดี ไม่เป็นคราบ สามารถป้องกันรังสี UV ได้ ด้วย SPF 50+ PA+++
  • Skin Nuder Cover Layer Cushion : คุชชั่น Soft Matte โดยเนื้อคุชชั่นจะเป็นแป้งผสมเอสเซนส์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและให้สัมผัสที่อ่อนโยนกับผิว จึงเป็นสูตรคุมมันแต่ไม่ทำให้ผิวแห้ง อีกทั้งยังบางเบา ปกปิดสูง ติดทนยาวนาน สามารถป้องกันรังสี UV ได้ ด้วย SPF 50+ PA+++


: เนื้อสัมผัส :
คุชชั่นจองแซมมุล ทั้งสองรุ่นนี้ มีเนื้อสัมผัสละเอียด เกลี่ยง่าย บางเบา แต่ปกปิด แทปแล้วกลืนไปกับผิว แทบไม่ต้องแตะแทปซ้ำหลายครั้ง ผิวก็ดูเรียบเนียน ไม่หนา ไม่หนักหน้า อีกทั้งยังติดทน สามารถให้งานผิวที่ดูสุขภาพดีเป็นธรรมชาติ โดยที่รู้สึกสบายผิวและไม่แห้งตึงได้ตลอดทั้งวันเลยล่ะค่ะ ><

:  เฉดสี  :
  • Masterclass Radiant Cushion : มี 3 เฉดสี ได้แก่ Ivory, Vanilla และ Sand  (แจนใช้เฉดสี Vanilla จะช่วยทำให้ผิวผ่องขึ้น แต่ยังดูเป็นธรรมชาติ)
  • Skin Nuder Cover Layer Cushion :  มี 4 เฉดสี ได้แก่ Fair light, N-light, Light และ Medium (แจนใช้เฉดสี Medium ปัจจุบันเฉดสีนี้ใช้แล้วสีจะเข้มกว่าผิวจริงเล็กน้อย เพราะช่วงที่เลือกซื้อผิวคล้ำกว่านี้ค่ะ ><)


: แพ็กเกจจิ้งและพัฟ :
  • Masterclass Radiant Cushion : ตลับดีไซน์ด้วยสีโรสโกลด์เหลือบทอง เมื่อโดนแสงจะมีประกายระยิบระยับ บ่งบอกถึงความฉ่ำโกลว์ของงานผิวที่จะได้จากคุชชั่นรุ่นนี้ ตัวพัฟเป็นพัฟปลายแหลมที่สามารถเก็บรายละเอียดตามซอกมุมของผิวบนใบหน้า ขนาดพัฟพอดีมือ สามารถควบคุมน้ำหนักมือได้ง่ายตามแรงกดของนิ้ว และให้สัมผัสที่นุ่มไม่บาดผิวอีกด้วย
  • Skin Nuder Cover Layer Cushion : ตลับดีไซน์ด้วยสีโทนนู้ด ดูสะอาดตา สไตล์มินิมอล  บริเวณฝามีความเล่นแสง โดยด้านข้างจะเป็นซิลิโคนที่มีผิวสัมผัสแบบด้าน สมกับเป็นคุชชั่นเนื้อแมตต์คุมมันตามแบบฉบับ Cushion 2022 คุชชั่นรุ่นนี้ในตอนเปิดตัวจะมีสติกเกอร์ลวดลายดอกเดซี่มาให้ในกล่อง สำหรับติดประดับตกแต่งเป็นกิมมิค เพิ่มความปุ๊กปิ๊กน่ารักน่าใช้ให้กับแพ็กเกจจิ้งขึ้นไปอีก ตัวพัฟมีลักษณะเป็น Smooth Fit Puff เมื่อแทปลงบนผิวจะช่วยให้เนื้อคุชชั่นจองแซมมุลยึดเกาะผิวได้ดีมากยิ่งขึ้น


: วิธีใช้ :
การใช้คุชชั่นจองแซมมุลแห่งปี Cushion 2022 ของทั้งสองรุ่นเหมือนกันเลย
โดย "เน้นการใช้พัฟค่อยๆแทปลงบนผิวหน้า"

1. กดพัฟลงบนฟองน้ำให้คุชชั่นจองแซมมุลซึมลงพัฟ
2. นำพัฟมาแตะที่ถาด MIX&MATCH เพื่อควบคุมปริมาณ
3. ค่อยๆแตะ โดยไล่มาตั้งแต่โหนกแก้มลงมาที่คางและโหนกแก้มอีกด้านนึงลงมาที่คางเช่นกัน
4. แทปบริเวณอื่นเพื่อให้สีผิวเนียนเรียบสีสม่ำเสมอ


: คุชชั่นจองแซมมุล รุ่นไหนเหมาะกับใคร? :
  • Masterclass Radiant Cushion : สาวๆที่ชอบงานผิวฉ่ำๆ บอกเลยว่าคุชชั่นจองแซมมุลตลับนี้ตอบโจทย์เป็นที่สุด! เพราะเนื้อคุชชั่นรุ่นนี้มีความฉ่ำโกลว์ เล่นแสง ให้ผิวที่ดูสุขภาพดีเป็นธรรมชาติ แม้เนื้อคุชชั่นจะบางเบา แต่ให้การปกปิดขั้นสุด เพียงแค่แทปลงบริเวณที่มีปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว รอยแดง เส้นเลือด หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ คุชชั่นจองแซมมุลรุ่นนี้ก็เอาอยู่ แต่สำหรับรอยดำ สิวหัวเปิดหรือริ้วรอยต่างๆ อาจจะต้องใช้คอนซีลเลอร์ช่วยเพื่อเพิ่มความเรียบเนียนให้ผิว หรือถ้าต้องการปกปิดเฉพาะจุดก็สามารถแตะแทปเพิ่มเฉพาะจุดได้ อีกทั้งเนื้อคุชชั่นยังติดทนยาวนาน สีไม่ดรอประหว่างวันอีกด้วย และสำหรับใครที่มีสภาพผิวแห้งหรือผิวผสมค่อนไปทางแห้งจะต้องถูกใจคุชชั่นจองแซมมุลตลับนี้แน่นอน!
  • Skin Nuder Cover Layer Cushion : ยกให้เป็นลูกรักของสาวๆที่มีผิวมัน ไปจนถึงผิวผสมเลยล่ะค่ะ เพราะคุชชั่นจองแซมมุลตลับนี้สามารถควบคุมมันได้ดี ให้ฟินิชลุคแบบ Semi matte แต่ไม่ทำให้ผิวแห้ง ให้การปกปิดขั้นสุด ไม่ว่าจะรอยสิว กระ รูขุมขนกว้างหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ คุชชั่นรุ่นนี้ก็สามารถปกปิดได้อย่างเรียบเนียน ไม่เป็นคราบ สามารถแต่งไปได้ทุกที่ในสภาพอากาศของเมืองไทย สีไม่ดรอประหว่างวัน และไม่ค่อยติดแมสด้วยค่ะ!


สรุปว่า คุชชั่นจองแซมมุลทั้งสองรุ่นนี้เหมือนกันตรงที่ใช้แล้วปกปิดได้ดี สีไม่ดรอป ติดทนยาวนานอยู่ได้ตลอดทั้งวันโดยที่ผิวไม่แห้ง โดยมีวิธีการใช้หรือขั้นตอนต่างๆที่เหมือนกัน ให้ผลลัพธ์เป็นไปตามคำเคลมของแบรนด์ทั้งสองรุ่นเลย แต่สำหรับใครที่ชอบงานผิวฉ่ำวาว เล่นแสง ดูโกลว์เกาหลีเกาใจ Masterclass Radiant Cushion (ราคา 1,950 บาท) ตอบโจทย์เป็นที่สุด! ส่วนใครที่ชอบงานผิวเนียนเป๊ะ ฟินิชลุคแบบแมตต์ต้องรุ่นนี้เลยค่ะ Skin Nuder Cover Layer Cushion (ราคา 1,500 บาท) ซึ่งราคาต่างกันหลักร้อยแต่มีรีฟิลให้มาทั้งคู่ (ถือว่าคุ้มมากกก เพราะตลับนึงได้ยาวนาน ยิ่งตัว Masterclass Radiant Cushion กว่าจะเปลี่ยนก็ลืมไปแล้วว่าเก็บรีฟิลไว้ที่ไหน ><)

ในส่วนของแพ็กเกจ มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่มีขนาดเหมาะแก่การพกพาทั้งคู่ น้ำหนักเบา หยิบมาใช้ได้สะดวก ไม่ว่าจะแต่งหน้าในวันสบายๆ หรือแต่งหน้าเพื่อออกงานสำคัญ ก็สามารถให้งานผิวที่ดูสุขภาพดีเป็นธรรมชาติ ไม่หนักหน้า ช่วยให้สาวๆสามารถแต่งหน้าได้ทุกวันทุกโอกาส จึงขอยก คุชชั่นจองแซมมุล ให้เป็น Cushion 2022 ที่ควรมีติดโต๊ะเครื่องแป้งในปีนี้เลยค่ะ!

สนใจเนื้อหาเต็มอ่านได้ที่ : https://bit.ly/3CrDV70